The Golden Bird (3)
อ่านตอนที่ 2
สุนัขจิ้งจอกจึงได้ให้คำแนะนำกับเขาอีกครั้ง
"เมื่อไปพบพระราชา เมื่อพระราชาเห็นเจ้าหญิงแล้วก็จะนำม้ามาให้ ให้เจ้าขึ้นไปนั่งบนม้าและขอจับมือบอกลาเจ้าหญิงเป็นครั้งสุดท้าย แต่ในจังหวะนั้นให้เจ้ารีบฉุดตัวนางขึ้นมาบนม้าและรีบหนีไป"
"และเมื่อเจ้ามาถึงปราสาทที่กักขังนกไว้ ข้าและเจ้าหญิงจะรอเจ้าที่ประตูปราสาท ให้เจ้าควบม้าเข้าไปและคุยกับพระราชา เมื่อพระราชาเห็นม้าแล้วเขาจะนำนกออกมา ให้เจ้าอย่าเพิ่งลงจากอานม้า แต่ให้หยิบกรงนกมาดูและบอกว่าขอดูเพื่อความแน่ใจว่าใช่นกตัวเดียวกันหรือไม่ และเมื่อเจ้าได้นกมาอยู่ในมือแล้ว ให้รีบควบม้าออกไป"
คราวนี้ เขาได้ทำตามที่สุนัขจิ้งจอกได้พูดไว้ เขาได้ทั้งม้า เจ้าหญิง และนกสีทองมาไว้กับตัว เขาได้เดินทางมาจนกระทั่งมาถึงป่า และได้พบกับสุนัขจิ้งจอกอีกครั้ง แต่คราวนี้ สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นบอกให้เขาฆ่ามัน และตัดหัวและเท้าของมันซะ แต่เขาปฏิเสธ สุนัขจิ้งจอกจึงให้คำแนะนำอีกครั้ง
"ข้าขอเตือนให้เจ้าระวังสองสิ่ง คืออย่าได้ไปช่วยไถ่ชีวิตนักโทษ และให้นั่งพักฝั่งที่ไม่ติดแม่น้ำเท่านั้น"
เขาได้ควบม้าพร้อมกับเจ้าหญิงไปเรื่อยๆจนมาถึงหมู่บ้านแรกที่เขาได้พบ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้น เขาได้ถามชาวบ้านแถวนั้นและก็พบว่ามีชายสองคนกำลังจะถูกประหารโดยการแขวนคอ และเมื่อเขาเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าผู้ชายทั้งสองคนนั้นคือพี่ชายทั้งสองคนของเขานั่นเอง ซึ่งได้กลายเป็นโจรผู้ร้ายคอยขโมยทรัพย์สินของชาวบ้านไปทั่ว
"ไม่มีทางไหนที่จะช่วยเขาทั้งสองได้เลยหรือ" เขาถามกับชาวบ้าน
"ไม่"
แต่เขากลับนำเงินทั้งหมดที่เขามีและนำมาไถ่ชีวิตของพี่ชายทั้งสองคน และเมื่อช่วยไถ่ชีวิตพี่ชายทั้งสองคนได้แล้วทั้งหมดก็มุ่งตรงสู่เมืองของตน
เมื่อเดินทางไปเรื่อยๆจนมาถึงป่าที่พวกเขาได้พบเจอกับสุนัขจิ้งจอกในครั้งแรก จู่ๆพี่ชายทั้งสองคนก็ขอนั่งพักดื่มน้ำข้างแม่น้ำซักประเดี๋ยว น้องชายคนเล็กสุดก็ยอมฟังพวกพี่ชายทั้งสองคนและนั่งพักลง ในขณะที่เขากำลังก้มตัวลงกวักน้ำดื่มในแม่น้ำนั้น พี่ชายทั้งสองคนก็ลอบเข้ามาทางด้านหลังและผลักเขาตกลงไป และขโมยทั้งม้า เจ้าหญิง และนกกลับไปยังเมืองของตน
แต่เมื่อไปถึงแล้ว ม้าที่พี่ชายทั้งสองได้ขโมยมากลับไม่ยอมกินอาหาร นกสีทองกลับไม่ยอมร้องเพลง และเจ้าหญิงก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญตลอดเวลา ในขณะที่น้องชายคนเล็กสุดที่ตกลงไปก้นพื้นแม่น้ำนั้น โชคดีที่น้ำในแม่น้ำนั้นกำลังแห้ง แต่ด้วยความที่ตกลงมาจึงทำให้กระดูกของเขาหัก อีกทั้งตลิ่งที่สูงชันทำให้เขาไม่สามารถหาทางออกได้ ทันใดนั้น สุนัขจิ้งจอกก็ได้ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งเสียใจว่าทำไมเขาถึงไม่เคยฟังสิ่งที่มันให้คำแนะนำเลย แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาอยู่แบบนี้ได้ สุนัขจิ้งจอกจึงช่วยเขาขึ้นมาและบอกว่าพี่ชายทั้งสองต้องการจะฆ่าเขา เพราะฉะนั้น เมื่อไปถึงเมืองแล้วให้ปลอมตัวเป็นคนจนและแอบเข้าไปในปราสาท ที่ซึ่งขังม้า นก และเจ้าหญิงไว้ เมื่อเขาเข้าไปเจอม้า ม้าก็เริ่มกินอาหาร นกก็เริ่มร้องเพลง และเจ้าหญิงก็หยุดร้องไห้ เขาจึงเข้าไปพบพระราชาและเล่าความจริงทั้งหมดให้พระองค์ฟัง พี่ชายทั้งสองจึงถูกจับไปลงโทษ และเมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์ เขาจึงได้รับสืบทอดเป็นเจ้าชายและปกครองเมืองต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไป วันหนึ่งเจ้าชายได้เข้าไปเดินเล่นในป่า และได้พบกับสุนัขจิ้งจอกที่ตอนนี้แก่ลงไปมาก สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นได้ขอร้องทั้งน้ำตาว่าให้เจ้าชายฆ่ามันซะ พร้อมทั้งตัดหัวและเท้าของมันด้วย ในครั้งนี้ เจ้าชายได้ยอมทำตามคำขอของสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น และเมื่อเจ้าชายได้ตัดเท้าและหัวของมันแล้ว จู่ๆ ร่างของสุนัขจิ้งจอกก็ได้กลายเป็นมนุษย์ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือพี่ชายของเจ้าหญิงที่พลัดพลากจากกันมานานแสนนานนั่นเอง
สุนัขจิ้งจอกจึงได้ให้คำแนะนำกับเขาอีกครั้ง
"เมื่อไปพบพระราชา เมื่อพระราชาเห็นเจ้าหญิงแล้วก็จะนำม้ามาให้ ให้เจ้าขึ้นไปนั่งบนม้าและขอจับมือบอกลาเจ้าหญิงเป็นครั้งสุดท้าย แต่ในจังหวะนั้นให้เจ้ารีบฉุดตัวนางขึ้นมาบนม้าและรีบหนีไป"
"และเมื่อเจ้ามาถึงปราสาทที่กักขังนกไว้ ข้าและเจ้าหญิงจะรอเจ้าที่ประตูปราสาท ให้เจ้าควบม้าเข้าไปและคุยกับพระราชา เมื่อพระราชาเห็นม้าแล้วเขาจะนำนกออกมา ให้เจ้าอย่าเพิ่งลงจากอานม้า แต่ให้หยิบกรงนกมาดูและบอกว่าขอดูเพื่อความแน่ใจว่าใช่นกตัวเดียวกันหรือไม่ และเมื่อเจ้าได้นกมาอยู่ในมือแล้ว ให้รีบควบม้าออกไป"
คราวนี้ เขาได้ทำตามที่สุนัขจิ้งจอกได้พูดไว้ เขาได้ทั้งม้า เจ้าหญิง และนกสีทองมาไว้กับตัว เขาได้เดินทางมาจนกระทั่งมาถึงป่า และได้พบกับสุนัขจิ้งจอกอีกครั้ง แต่คราวนี้ สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นบอกให้เขาฆ่ามัน และตัดหัวและเท้าของมันซะ แต่เขาปฏิเสธ สุนัขจิ้งจอกจึงให้คำแนะนำอีกครั้ง
"ข้าขอเตือนให้เจ้าระวังสองสิ่ง คืออย่าได้ไปช่วยไถ่ชีวิตนักโทษ และให้นั่งพักฝั่งที่ไม่ติดแม่น้ำเท่านั้น"
เขาได้ควบม้าพร้อมกับเจ้าหญิงไปเรื่อยๆจนมาถึงหมู่บ้านแรกที่เขาได้พบ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้น เขาได้ถามชาวบ้านแถวนั้นและก็พบว่ามีชายสองคนกำลังจะถูกประหารโดยการแขวนคอ และเมื่อเขาเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าผู้ชายทั้งสองคนนั้นคือพี่ชายทั้งสองคนของเขานั่นเอง ซึ่งได้กลายเป็นโจรผู้ร้ายคอยขโมยทรัพย์สินของชาวบ้านไปทั่ว
"ไม่มีทางไหนที่จะช่วยเขาทั้งสองได้เลยหรือ" เขาถามกับชาวบ้าน
"ไม่"
แต่เขากลับนำเงินทั้งหมดที่เขามีและนำมาไถ่ชีวิตของพี่ชายทั้งสองคน และเมื่อช่วยไถ่ชีวิตพี่ชายทั้งสองคนได้แล้วทั้งหมดก็มุ่งตรงสู่เมืองของตน
เมื่อเดินทางไปเรื่อยๆจนมาถึงป่าที่พวกเขาได้พบเจอกับสุนัขจิ้งจอกในครั้งแรก จู่ๆพี่ชายทั้งสองคนก็ขอนั่งพักดื่มน้ำข้างแม่น้ำซักประเดี๋ยว น้องชายคนเล็กสุดก็ยอมฟังพวกพี่ชายทั้งสองคนและนั่งพักลง ในขณะที่เขากำลังก้มตัวลงกวักน้ำดื่มในแม่น้ำนั้น พี่ชายทั้งสองคนก็ลอบเข้ามาทางด้านหลังและผลักเขาตกลงไป และขโมยทั้งม้า เจ้าหญิง และนกกลับไปยังเมืองของตน
แต่เมื่อไปถึงแล้ว ม้าที่พี่ชายทั้งสองได้ขโมยมากลับไม่ยอมกินอาหาร นกสีทองกลับไม่ยอมร้องเพลง และเจ้าหญิงก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญตลอดเวลา ในขณะที่น้องชายคนเล็กสุดที่ตกลงไปก้นพื้นแม่น้ำนั้น โชคดีที่น้ำในแม่น้ำนั้นกำลังแห้ง แต่ด้วยความที่ตกลงมาจึงทำให้กระดูกของเขาหัก อีกทั้งตลิ่งที่สูงชันทำให้เขาไม่สามารถหาทางออกได้ ทันใดนั้น สุนัขจิ้งจอกก็ได้ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งเสียใจว่าทำไมเขาถึงไม่เคยฟังสิ่งที่มันให้คำแนะนำเลย แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาอยู่แบบนี้ได้ สุนัขจิ้งจอกจึงช่วยเขาขึ้นมาและบอกว่าพี่ชายทั้งสองต้องการจะฆ่าเขา เพราะฉะนั้น เมื่อไปถึงเมืองแล้วให้ปลอมตัวเป็นคนจนและแอบเข้าไปในปราสาท ที่ซึ่งขังม้า นก และเจ้าหญิงไว้ เมื่อเขาเข้าไปเจอม้า ม้าก็เริ่มกินอาหาร นกก็เริ่มร้องเพลง และเจ้าหญิงก็หยุดร้องไห้ เขาจึงเข้าไปพบพระราชาและเล่าความจริงทั้งหมดให้พระองค์ฟัง พี่ชายทั้งสองจึงถูกจับไปลงโทษ และเมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์ เขาจึงได้รับสืบทอดเป็นเจ้าชายและปกครองเมืองต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไป วันหนึ่งเจ้าชายได้เข้าไปเดินเล่นในป่า และได้พบกับสุนัขจิ้งจอกที่ตอนนี้แก่ลงไปมาก สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นได้ขอร้องทั้งน้ำตาว่าให้เจ้าชายฆ่ามันซะ พร้อมทั้งตัดหัวและเท้าของมันด้วย ในครั้งนี้ เจ้าชายได้ยอมทำตามคำขอของสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น และเมื่อเจ้าชายได้ตัดเท้าและหัวของมันแล้ว จู่ๆ ร่างของสุนัขจิ้งจอกก็ได้กลายเป็นมนุษย์ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือพี่ชายของเจ้าหญิงที่พลัดพลากจากกันมานานแสนนานนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น